นักท่องเที่ยวหญิงเข้าพักในโรงแรม ส่งเสริมให้แนวโน้มธุรกิจโรงแรมไทยปี 2025 สดใส

อัปเดตแนวโน้มธุรกิจโรงแรมปี 2025 ที่เจ้าของโรงแรมต้องรู้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโรงแรมต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากผลกระทบของสถานการณ์โรคระบาดและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ปัจจุบันนี้ ธุรกิจโรงแรมกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งนับเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางธุรกิจของอุตสาหกรรมโรงแรม ได้แก่ การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การเติบโตของนักเดินทางในประเทศ รวมถึงบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น OTA (Online Travel Agencies) และความคาดหวังใหม่จากผู้เข้าพัก ทั้งด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย และความยั่งยืน

เพื่อให้ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถเตรียมตัวและวางแผนการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราได้สรุปแนวโน้มธุรกิจโรงแรมในปี 2025 รวมถึงโอกาสและความท้าทายที่ควรจับตามองไว้ในบทความนี้

แนวโน้มธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน

ในช่วงหลังปี 2022 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมโรงแรมเริ่มมีสัญญาณบวกจากการเติบโตของการท่องเที่ยว โดยโรงแรมที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจความต้องการของผู้เข้าพัก มักจะได้รับการตอบรับที่ดี ตัวอย่างเทรนด์ในปัจจุบัน ได้แก่

● ความนิยมของโรงแรมขนาดเล็กและบูทีคโฮเทลที่มีสไตล์เฉพาะ

● การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น ระบบจองอัตโนมัติ, คีย์การ์ดดิจิทัล, ระบบจัดการหลังบ้าน

● โรงแรมที่เน้นการให้บริการแบบเป็นมิตร ใกล้ชิด และใส่ใจ

แนวโน้มธุรกิจโรงแรมในอนาคต

หากมองไปข้างหน้า อุตสาหกรรมโรงแรมยังคงต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยี ความคาดหวังของนักท่องเที่ยว และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม โดยแนวโน้มสำคัญที่กำลังขับเคลื่อนธุรกิจโรงแรมไปสู่อนาคต มีดังนี้

Personalized Experience

ในยุคที่นักท่องเที่ยวมีตัวเลือกมากมาย โรงแรมที่สามารถสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลจะได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะผู้เข้าพักเริ่มมีความคาดหวังให้โรงแรม “เข้าใจ” ในความชอบ ตั้งแต่ขั้นตอนการจองไปจนถึงการเช็กเอาต์ เจ้าของโรงแรมจึงควรลงทุนในระบบที่สามารถบันทึกข้อมูลลูกค้า เช่น ประเภทห้องที่ได้รับความนิยม ความต้องการพิเศษ หรือกิจกรรมที่สนใจ เพื่อใช้ในการออกแบบบริการที่ตรงใจ เช่น หากลูกค้าเป็นนักเดินทางสายสุขภาพ อาจแนะนำห้องพักใกล้ฟิตเนสและนำเสนอชุดอาหารสุขภาพ หรือ หากเป็นครอบครัว อาจเสนอห้องที่มีพื้นที่สำหรับเด็กเล่นพร้อมของเล่นเสริม การใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ แม้เพียงเล็กน้อย จะช่วยเปลี่ยนลูกค้าขาจรให้กลายเป็นลูกค้าประจำ และทำให้โรงแรมสร้างความแตกต่างได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องแข่งขันที่ราคาเพียงอย่างเดียว

Sustainability

ความยั่งยืนกลายเป็นหนึ่งในมาตรฐานใหม่ที่นักท่องเที่ยวนำมาพิจารณาเลือกโรงแรม เจ้าของโรงแรมจึงต้องแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม การเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลในพื้นที่ส่วนกลาง หรือเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในห้องอาหาร ทั้งหมดนี้ล้วนช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีโดยไม่ต้องลงทุนสูง นอกจากนี้ การสื่อสารให้แขกรับรู้ เช่น การติดป้ายเล็ก ๆ ในห้องพักเพื่อเชิญชวนให้ประหยัดน้ำ หรือการนำเสนอเมนูอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น ยังช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมีส่วนร่วมไปกับแนวทางการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนของโรงแรมได้อีกทางหนึ่ง

Digital Transformation

การปรับใช้เทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของลูกค้าโดยตรง เจ้าของโรงแรมควรพิจารณานำระบบบริหารจัดการโรงแรม (PMS) ที่สามารถเชื่อมต่อการจอง เช็กอิน เช็กเอาต์ และรายงานการเงินไว้ในที่เดียวมาใช้ เพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน อีกทั้งควรมีระบบเช็กอินไร้สัมผัส และการใช้ AI Chatbot ตอบคำถามเบื้องต้นตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับพฤติกรรมลูกค้าที่คุ้นเคยกับความสะดวกสบายผ่านมือถือ การลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในแต่ละวัน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมีนัยสำคัญ

Wellness Tourism

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มองหาประสบการณ์การพักผ่อนเชิงสุขภาพ เจ้าของโรงแรมสามารถเริ่มต้นได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสูง เช่น การจัดโซนโยคะเล็ก ๆ ในพื้นที่ของโรงแรม การนำเสนอแพ็กเกจสปาผ่อนคลาย หรือการจัดเมนูอาหารสุขภาพที่ใช้วัตถุดิบออร์แกนิก นอกจากนี้ การร่วมมือกับคลินิกหรือผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นเพื่อเสนอบริการพิเศษ เช่น โปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพ หรือการทำสมาธิ ก็สามารถช่วยสร้างความแตกต่างให้กับโรงแรมและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพอย่างจริงจัง

กลุ่ม Digital Nomad และ Remote Worker

กลุ่มนักเดินทางที่ทำงานระหว่างเดินทาง หรือ Digital Nomad มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวและพื้นที่ธรรมชาติที่มีบรรยากาศสงบ เจ้าของโรงแรมสามารถเจาะกลุ่มนี้ได้ด้วยการติดตั้ง Wi-Fi ความเร็วสูง พร้อมจัดพื้นที่ทำงานที่แยกจากพื้นที่พักผ่อน เช่น Co-working space ขนาดย่อมในโรงแรม รวมถึงการออกแบบโปรโมชันระยะยาว เช่น ส่วนลดพิเศษสำหรับการเข้าพักตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป การตอบสนองความต้องการพื้นฐานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ แต่ยังสามารถสร้างกลุ่มลูกค้าประจำที่อยู่ได้นานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป

พนักงานชายที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมโรงแรมกำลังให้การต้อนรับแขกผู้เข้าพัก

โอกาสของผู้ประกอบการโรงแรมไทย

แม้ว่าการแข่งขันในธุรกิจโรงแรมจะสูงขึ้นทุกปี แต่อุตสาหกรรมโรงแรมไทยยังมีข้อได้เปรียบหลายด้านที่สามารถต่อยอดเป็นโอกาสในการเติบโตได้ หากเจ้าของโรงแรมเข้าใจจุดแข็งของตัวเองและเลือกวางกลยุทธ์อย่างเหมาะสม โอกาสใหม่ ๆ จะยังเปิดกว้างเสมอในตลาดที่ยังมีความต้องการหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ช่องว่างในตลาดที่ยังไม่มีผู้ให้บริการครบวงจร

หนึ่งในปัญหาหลักที่โรงแรมส่วนใหญ่ในไทยต้องเผชิญ คือการใช้ระบบบริหารจัดการที่แยกส่วนกันหลายระบบ เช่น ระบบจอง ระบบเช็กอิน ระบบบัญชี ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกันได้ ทำให้การบริหารงานกลายเป็นเรื่องยุ่งยากและมีต้นทุนแฝงสูง สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการลดความซับซ้อน การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่รวมระบบสำคัญทั้งหมดไว้ในที่เดียว เช่น ระบบจองตรง ระบบจัดการห้องพัก ระบบพนักงาน และระบบบัญชี จะช่วยลดเวลาการทำงาน ลดความผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสต่อประสบการณ์ของแขก แทนการจัดการปัญหาภายในที่ไม่จำเป็น

การเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะทาง (Niche Segment)

ในขณะที่โรงแรมขนาดใหญ่แข่งขันกันในตลาดแมส การหันมาเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะทางเป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างความต่างและความยั่งยืนให้กับแบรนด์ได้อย่างแท้จริง เจ้าของโรงแรมสามารถออกแบบบริการให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น รีสอร์ตที่รองรับนักเดินป่าหรือคนรักธรรมชาติ โรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง หรือ Wellness Hotel ที่มีโปรแกรมดูแลสุขภาพครบวงจร เมื่อโรงแรมสามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะทางได้ตรงจุด ก็จะลดการแข่งขันกับโรงแรมทั่วไป และสามารถตั้งราคาที่สะท้อนคุณค่าแท้จริงได้ดีกว่าตลาดกว้าง

การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่พัฒนาเพื่อโรงแรมไทยโดยเฉพาะ

สำหรับโรงแรมขนาดเล็กและกลางในไทย การเลือกเทคโนโลยีที่เข้าใจบริบทจริงจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่ใช่ทุกระบบที่พัฒนามาจากพื้นฐานการทำงานของต่างประเทศ จะเหมาะสมกับรูปแบบการทำงานและข้อจำกัดของโรงแรมไทย แพลตฟอร์มอย่าง Kantus Hotel Tech เป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์โรงแรมไทยโดยเฉพาะ ทั้งระบบจอง เช็กอิน-เช็กเอาต์ ระบบจัดการพนักงาน และรายงานการเงินที่รองรับภาษาไทย อีกทั้งยังมีจุดเด่นที่ใช้งานง่าย และมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้การซัพพอร์ตตลอด 24 ชั่วโมง การใช้ระบบเช่นนี้จะช่วยให้เจ้าของโรงแรมบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับแขก และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องพึ่งระบบใหญ่ ๆ ที่มีต้นทุนสูงเกินความจำเป็น

อุตสาหกรรมโรงแรมไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญ การปรับตัวสู่ความเป็นดิจิทัล เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และวางระบบที่ยืดหยุ่นไว้ตั้งแต่วันนี้ จะเป็นปัจจัยชี้ชะตาว่าโรงแรมจะอยู่รอด เติบโต หรือหลุดออกจากการแข่งขันในที่สุด

สำหรับผู้ประกอบการที่มองหาแนวทางใหม่ในการยกระดับการบริหารจัดการ Kantus Hotel Tech คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ใช่สำหรับคุณ เราคือบริษัททำซอฟต์แวร์การจัดการโรงแรมที่พัฒนาโดยคนไทย เพื่อโรงแรมไทย สามารถทดลองใช้ระบบจริงได้ฟรี 3 เดือน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง พร้อมทีมซัพพอร์ตดูแลตลอด 24 ชม.

ติดต่อสอบถามหรือขอรับคำปรึกษาฟรีได้ที่ เบอร์โทรศัพท์: 022-555-581 หรือ E-Mail: sales@kantushoteltech.com

ข้อมูลอ้างอิง

1. แนวโน้มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ปี 2562-2564: ธุรกิจโรงแรม. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 จาก https://www.krungsri.com/th/research/industry/industry-outlook/services/hotels/io/hotel-2024-2026

2.ธุรกิจโรงแรมไทยปี 67-69 แนวโน้มรุ่ง ท่องเที่ยวฟื้น -เอกชนลงทุนเพิ่ม. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 จาก https://www.thansettakij.com/business/tourism/593540#google_vignette

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *